วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

ลดหน้าท้อง 3 วิธีลดพุง การทำให้หน้าท้องแบนราบ

 
โดย : Chelsea Clarke

          เชื่อไหมว่า ทั้งอาหาร เสื้อผ้า และการบริหารที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณสาว ๆ มีรูปร่างเพรียวบางได้ มาดูกัน

รับประทานให้ถูกต้อง

          การมีน้ำหนักส่วนเกินเล็กน้อยรอบเอวทำให้คุณกังวล เพราะไขมันเหล่านี้ล้อมรอบอวัยวะต่าง ๆ ที่สำคัญ

          แม้ไขมันอิ่มตัวจุดเดียว (monounsaturated fats) อย่างอะโวคาโด้นั้นต่อกรกับหน้าท้องที่ย้วยได้ แต่เดนิส กริฟฟิธ โภชนากรแนะนำเพิ่มเติมว่า "หากจะลดน้ำหนักลงจริง ๆ ก็ควรจะรับประทานอาหารที่ไขมันต่ำพลังงานต่ำด้วย"

          กริ ฟฟิธ แนะนำให้รับประทานอาหารที่อุดมด้วยปลาที่มีไขมัน, ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งที่ดีของ "ไขมันที่ดี" ที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะไขมันจากปลาแซลมอนและซาร์ดีน ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ทำให้ร่างกายไวต่ออินซูลินได้ดีขึ้น เป็นผลให้ไขมันหน้าท้องลดลง ส่วนอาหารอื่น ๆ ที่ดีในการต่อสู้กับไขมันก็ได้แก่ ผักปวยเล้ง, ผักกาดหวาน, บร็อคโคลี่, ปาปริกา และพริก

          กริฟฟิธ กล่าวว่า วิธีเริ่มต้นที่รวดเร็วและดีในการลดน้ำหนัก คือ ดูว่าอาหารในจานมีมากเท่าไร "เรามักจะทานมากในมื้อเย็น แต่ไม่ได้ตระหนักว่าอาหารพวกนี้มันมากเกินไป" เธอกล่าว "หากตอนกลางวันทานอาหารในร้านก็แบ่งแป้งพิซซ่าให้เพื่อนบ้าง เพราะมันยากที่จะหยุดกินแป้งแบบนี้เพียงแค่ชิ้นหรือสองชิ้น"

แต่งกายให้เหมาะสม

          การพรางรอบเอวที่กลมนั้นมันง่าย เพียงแค่เปลี่ยนชุดชั้นในเท่านั้น

          "ชั้นในที่ดันทรงและพยุงช่วยให้เปลี่ยนแปลงได้มาก" เป็นคำกล่าวของซินดี้ นิวสเตด สไตลิสต์ กล่าว "หากกางเกงชั้นในของคุณไม่มีแถบยางยืดและขอบอยู่ต่ำกว่ารอบเอว มันก็จะไม่มีอะไรคอยพยุงเอาไว้และทำให้ไขมันยื่นออกมา กางเกงชั้นในควรอยู่สูงถึงจุดกึ่งกลางลำตัว เพื่อจะได้พยุงได้อย่างถูกต้อง"

          พอมาถึงเรื่องการเลือกซื้อเสื้อผ้า นิวสเตด กล่าวว่า การเลือกเสื้อผ้าที่ตัดอย่างถูกต้อง สไตล์และเนื้อผ้าที่เหมาะสมจะช่วยคลุมท้องให้ได้ หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับ, ผ้ายืด ให้ใช้ผ้าสบาย ๆ อย่างเช่น ผ้าฝ้าย วิธีอื่น ๆ ที่ช่วยซ่อนเร้นร่างกายส่วนกลางได้แก่ :

          - สวมแจ็คเก็ตขนาดพอดี หาแจ็คเก็ตที่ส่วนอกพอดี ๆ แล้วส่วนกลางก็จะทำให้ดูมีรูปร่าง

          - อย่าเอาเสื้อยัดใส่ลงในกางเกงหรือกระโปรง ปล่อยชายเสื้อลงมาจะช่วยซ่อนพุง และทำให้ลำตัวยาวขึ้น

          - สวมเสื้อที่มีตะเข็บตามแนวใต้ราวนม (empire line) และมีแถบรอบด้านล่าง เพื่อซ่อนเร้นหน้าท้อง

          - เครื่องประดับอื่น ๆ ส่วนเกินอะไรก็ตามที่คุณสวมบนหรือรอบคอ จะช่วยเบนสายตาที่มองให้ออกห่างจากส่วนท้อง

บริหารให้ถูกต้อง

          นาเดีย แบรนดอน-แบล็ค ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายกล่าวว่า "วิธี ที่ดีที่สุดที่จะทำให้ท้องแบนราบก็คือลดไขมันในร่างกายลง ด้วยการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างการบริหารคาร์ดิโอกับการบริหารยก น้ำหนัก" เธอแนะนำให้บริหารแบบคาร์ดิโอสัปดาห์ละสามครั้ง (เดิน, จ็อคกิ้ง, ขี่จักรยาน) และบริหารกล้ามเนื้อท้องด้วยท่าบริหารต่อไปนี้ สลับกันอย่างน้อยสัปดาห์ละสองถึงสามครั้ง

           นอนตัวตรง : นอน คว่ำหน้าลงกับพื้นโดยให้ฝ่ามือวางที่พื้น นิ้วเท้างออยู่ใต้ลำตัว ดันตัวขึ้นมาโดยเอาข้อศอกค้ำยันลำตัวเอาไว้ ตัวตรงตั้งแต่หัวจรดเท้า ค้างเอาไว้ 30 วินาทีแล้วค่อย ๆ เพิ่มจนทำได้หนึ่งนาทีเต็ม

          งอหน้าท้อง : นอน หงายและยกขาสองข้างขึ้นทำมุม 90 องศากับพื้น งอเข่า เกร็งหน้าท้อง แล้วงอตัวตรง ตะโพกยกตัวขึ้นจากพื้น จากนั้นยกขาขึ้นชี้ฟ้าเล็กน้อย พยายามทำให้ได้ 20 ครั้ง

           หมุนขา : นอน หงาย ประสานมือไว้หลังศีรษะ ยกเข่าขึ้นมาทางหน้าอก ขณะเดียวกันก็ยกไหล่ขึ้นเหนือพื้น ยืดขาซ้ายออกขณะที่หมุนร่างกายส่วนบนไปทางขวา พยายามให้ข้อศอกซ้ายแตะหัวเข่าข้างขวา จากนั้นทำสลับข้าง ทำให้ได้ยี่สิบรอบ นับเป็นหนึ่งเซ็ท ทำให้ได้สามเซ็ท





ขอขอบคุณข้อมูลจาก
อาหารและสุขภาพ

สูตรลดน้ำหนัก 13 สิ่งที่ทำให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น


อยากหุ่นสวยเร็วขึ้น ท่องอาหาร 13 อย่างนี้ไว้ให้ขึ้นใจ เพราะมันจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นนะ...ขอบอก

          1.ไฟเบอร์ นอกจากช่วยในระบบขับถ่ายแล้ว ยังช่วยล้างของเสีย และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ออกจากร่างกายและเส้นเลือดด้วย

          2.นมอุ่น ๆ ช่วยผลิตเมลาโทนินที่ทำให้คุณหลับสบาย เมื่อคุณหลับร่างกายจะเร่งสร้างฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา

           3.กาเฟอีน ช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึ่ม หรือระบบเผาผลาญในร่างกาย ซึ่งจะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น เมื่ออัตราการเต้นของหัวใจถูกกระตุ้น ก็จะส่งผลให้ระบบอื่น ๆ ทำงานเร็วขึ้นไปด้วย

          4.เซลารี่ หรือขึ้นฉ่ายฝรั่ง เหมาะจะเป็นของว่างสำหรับคุณ เพราะมันช่วยในการเผาผลาญแคลอรีได้ดีนัก

          5.สารช่วยในการระบาย ไม่ใช่ยาถ่าย แต่เป็นอาหารที่ช่วยระบายท้อง เช่น ลูกพรุน หรือชา จะช่วยเคลียร์ระบบภายในร่างกาย และรีดเอาของที่ไม่ดีออกไป

          6.หมากฝรั่ง เมื่อปากคุณไม่ว่าง เพราะกำลังเคี้ยวหมากฝรั่งหนึบ ๆ อยู่ นอกจากคุณจะแตะอาหารอื่นน้อยลงแล้ว การเคี้ยวหมากฝรั่งยังช่วยเร่งระบบเผาผลาญให้คุณได้ด้วยนะ แต่ระวังอย่าเคี้ยวมากไป เพราะกรดในกระเพาะคุณอาจเสียหายได้

           7.กล้วย ช่วยกระตุ้นพลังงานในร่างกาย เมื่อคุณมีพลังมากขึ้น และได้ออกกำลัง ร่างกายก็จะนำเอาคาร์โบไฮเดรต หรือแป้งที่สะสมไปใช้

          8.ช็อกโกแลตบาร์ มันไม่ได้ช่วยคุณลดน้ำหนักหรอก แต่อย่างน้อย ๆ การกินของหวานสักหน่อยก็ไม่เสียหาย ดีกว่าที่คุณพยายามจะงดของหวานอย่างสิ้นเชิง จนสุดท้ายแล้ว ก็ลงแดงจนต้องล้มเลิกแผนไดเอ็ตน่ะ

          9.น้ำ สิ่งที่คุณไม่ควรลืม เพราะน้ำช่วยเติมคุณค่าให้ร่างกายคุณอยู่เสมอในระหว่างไดเอ็ต ทั้งยังช่วยชำระล้างของเสีย และเคลียร์ระบบในร่างกาย

           10.ผักสด เปี่ยมด้วยคุณค่าจากน้ำและไฟเบอร์เหมือนกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร ควบคุมน้ำตาลในเลือด และให้แคลอรีต่ำ แต่มีมวลรวมค่อนข้างสูงที่จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มได้ไม่ยาก โดยที่ไม่ได้รับแคลอรีไปมากมาย

          11.เกรปฟรุต เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการช่วยไดเอ็ต คุณสามารถใส่ในชามซีเรียลแล้วกินคู่กันในตอนเช้า ก็จะได้อาหารที่มีไฟเบอร์สูง และยังเหมาะจะรับประทานเป็นของว่างด้วย ซึ่งปริมาณน้ำที่สูงมากในเกรปฟรุตช่วยล้างสารที่ไม่ดีออกจากร่างกาย และยังมีคุณค่าจากสารพัดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี คอมเพล็กซ์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้ร่างกาย ทำให้คุณดึงคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับไปใช้ และไม่สะสมอยู่ในร่างกาย จึงส่งผลให้ไขมันสะสมลดลงไปด้วย

           12.ผลไม้สด ผลไม้สดอุดมไปด้วยน้ำ เช่น แอปเปิ้ล สับปะรด สตรอวเบอร์รี่ และเกรปฟรุต อุดมไปด้วยน้ำถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแตงโมนั้นให้น้ำมากถึง 92 เปอร์เซ็นต์ คุณอาจกินซีเรียล กินผลไม้ หรือเสริมด้วยผลไม้จำพวกเบอร์รี่เข้าไปหลังอาหารแต่ละมื้อ

          13.โปรตีน เปลี่ยนจากการทอดมาเป็นย่างแทนสำหรับเนื้อสัตว์ โดยสุดยอดของโปรตีนที่มีประโยชน์มากก็คือ เนื้อปลาแซลมอน ไก่งวง ที่ให้โปรตีนเต็มเปี่ยมแต่แคลอรีไม่สูงเกิน และปริมาณไขมันอิ่มตัวก็น้อย สำหรับคนรับประทานมังสวิรัติ ก็เน้นเป็นถั่วเหลืองแทน



 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://lisaguru.com/

วิตามินอี กินมากไปก่อให้เกิด มะเร็ง

 
หลาย ๆ คนเชื่อว่าการทานวิตามินทุกวันเป็นเรื่องดี เพราะจะช่วยให้ได้ทดแทนสารอาหารส่วนที่ขาดหายไป แต่บทความที่เรานำมาให้อ่านกันวันนี้ อาจทำให้คุณต้องคิดใหม่ดูให้ดีอีกครั้ง เพราะที่จริงแล้ว การทานวิตามินมาก ๆ อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เหมือนกัน


 
          เพราะจากการวิจัยของนายแพทย์ อีริค เคลน ผ่านกลุ่มตัวอย่างที่ทานวิตามินอี 400 iu เป็นประจำตลอดเวลา 5 ปี พบว่าพวกเขามีความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากขึ้นถึง 17% ยิ่งไปกว่านั้น วิตามินอีชนิด 400 iu ยังเป็นวิตามินที่คนส่วนใหญ่นิยมซื้อทานกันทั่วไปอีกด้วย
 
          นอกจากนี้ น้อยคนนักที่จะรู้ถึงประโยชน์ของวิตามินอีจริง ๆ จึงเชื่อว่ายิ่งทานไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีซะมากกว่า ทั้งที่ความจริงแล้ว แม้วิตามินจะมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยส่งเสริมการหมุนเวียนของเลือด แต่ถ้าทานมากเกินไป ก็เกิดผลเสียได้เหมือนกัน
 
          เพราะฉะนั้น ควรทานให้พอเหมาะจากอาหารที่มีวิตามินอีมาก ๆ เช่น อาหารจำพวกถั่ว เพื่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าผลเสียดีกว่าไปหาซื้อมาทานเสริมกันเองนะครับ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ผิวสวย ทำอย่างไรดี เมื่อตากแดดจนผิวลอก



หลังจากออกทริปเที่ยวทะเลหนำใจจนตัว ดำเมี่ยมแล้ว เมื่อกลับเข้ามาสู่ชีวิตปกติก็ต้องพบกับความจริงที่โหดร้าย เมื่อพบว่าผิวไหม้ และเริ่มลอก แถมยังคันยิบ ๆ อีกต่างหาก จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ ลองมาดูคำแนะนำและข้อปฏิบัติตัวเมื่อผิวไหม้ลอก ที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันค่ะ
 

      ทำผิวให้เย็นลง

          ทันทีที่สังเกตเห็นว่าผิวเริ่มลอก ให้คุณอาบน้ำเย็น การอาบน้ำเย็นจะช่วยให้ผิวเย็นลง และลดกระบวนการลอกของผิวให้ช้าลงได้ด้วย นอกจากนี้เมื่อเช็ดตัว ก็ให้ซับแต่เบามือ อย่าเช็ดถูโดยแรงเพราะจะทำให้ผิวยิ่งระคายเคือง และลอกมากขึ้นได้

      บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

          หลังจากอาบน้ำแล้วบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ โดยเลือกใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของ อโลเวร่า หรือ ว่านหางจระเข้ อันเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยให้ผิวเย็นลง ปลอบประโลมผิวที่ไหม้ลอก รวมทั้งลดอาการบวมแดงและอักเสบได้ด้วย หรือหากคุณมีต้นว่านหางจระเข้ก็สามารถใช้วุ้นจากต้นสด ๆ เลยก็ได้เช่นกัน

      ดื่มน้ำมาก ๆ

          หลังจากบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นจากภายนอกแล้ว ก็ต้องบำรุงให้ชุ่มชื้นออกมาจากภายในด้วย ทำได้โดยการดื่มน้ำ ยิ่งในยามที่ผิวไหม้และลอกขนาดนี้ น้ำกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งขึ้นในการช่วยให้ผิวฟื้นฟูสภาพได้เร็ว เพราะฉะนั้นอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้วนะคะ
    
      ห้ามเกา

          แม้ว่าจะรู้สึกคันมากเพียงใด แต่ก็ห้ามมือซนไปเกาเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคุณอาจได้ทำร้ายผิวในระยะยาว ด้วยการฝากรอยแผลเป็นเอาไว้ หากรู้สึกคันให้บรรเทาด้วยการใช้ผ้าขาวบางหรือผ้าเช็ดหน้าห่อน้ำแข็ง แล้วนำมาทาบกับผิวบริเวณนั้น เมื่อผิวเริ่มเย็นลงอาการคันก็จะทุเลาลงได้

       อย่าดึงหนังที่กำลังลอกออกมา

          ในช่วงกระบวนการรักษา ผิวชั้นนอกจะค่อย ๆ แห้งและร่อนหลุดออกมา แต่อย่ามือซนไปแกะหรือลอกผิวหนังที่กำลังหลุดร่อนออกมาเด็ดขาด (แม้ว่ามันจะยั่วมือยั่วใจแค่ไหนก็ตาม) เพราะการดึงให้หนังหลุดลอกออกมานั้นอาจทำให้เกิดอาการอักเสบได้ หากรู้สึกรำคาญสายตาและสัมผัส ให้ใช้กรรไกรเล็ก ๆ ตัดเฉพาะหนังส่วนที่ลอกออกมา แล้วทายาขี้ผึ้งกันการติดเชื้อทับ

       ป้องกัน

          เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผิวไหม้ลอกในครั้งต่อ ๆ ไป ก็ต้องรู้จักปกป้องผิว ด้วยการทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดด และทาซ้ำทุก  2-3 ชั่วโมง หากมีกิจกรรมที่ต้องลงน้ำ เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วก็ต้องทาครีมกันแดดซ้ำทุกครั้ง รวมทั้งต้องไม่ลืมทาในบริเวณที่มักถูกละเลย เช่น หลังใบหู ซึ่งเป็นบริเวณที่พบว่าเกิดผิวไหม้ลอกได้บ่อยที่สุดเลยค่ะ

          ผิวลอกผิวไหม้เป็นปัญหาผิวที่ทำให้เสียความมั่นใจไปได้ไม่เบา หมั่นทำตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัด และจากนี้ไปก็อย่าลืมหลบแดดจัด หรือป้องกันผิวก่อนออกแดดทุกครั้งด้วยนะคะ


 

สิวเสี้ยน วิธีง่าย ๆ ช่วยกำจัดสิวเสี้ยนให้พ้นจากใบหน้า



อีกหนึ่งปัญหากวนใจของหนุ่ม ๆ หลายคนที่เจอกันเป็นประจำก็คือเรื่อง "สิว" ที่มักจะขึ้นมาสร้างความรำคาญใจอยู่เสมอ ๆ เพราะสิวไม่เพียงแต่ขึ้นมาให้เราร้องยี้เท่านั้น หากแต่ยังสร้างความเจ็บปวดและบั่นทอนจิตใจให้ใครหลาย ๆ คนไปมากมายเลยทีเดียว

          เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราจะทนให้คุณมีสิวมารังควานชีวิตต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะครับ โดยเฉพาะเหล่าบรรดา "สิวเสี้ยน" อันไม่พึงประสงค์ด้วยแล้ว เห็นทีต้องกำจัดออกไปให้สิ้นซาก ส่วนวิธีการนั้นจะต้องทำยังไงบ้าง วันนี้เรามีการบอกลาสิวเสี้ยนจากเว็บไซต์ mensvanity.com มาฝากกันแล้วครับ

ใช้แปรงที่มีขนแข็ง ๆ ขจัดผิวบนใบหน้า

          เพื่อให้เห็นสิวเสี้ยนได้อย่างชัดเจนและง่ายต่อการกำจัดมากขึ้น ให้หาแปรงที่ใช้ขัดผิวมาเป็นตัวช่วยนะครับ โดยให้เลือกขนแปรงที่มีความแข็งสักหน่อย จากนั้นก็ค่อย ๆ ขัดหน้าของคุณเองไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ต้องลงน้ำหนักมานัก ไม่งั้นแล้วหน้าคุณจะพังขึ้นมาได้ การทำแบบนี้จะช่วยให้สิวเสี้ยนที่มุดตัวอยู่ในรูขุมขนนั้นเห็นเด่นชัดมาก ขึ้น ซึ่งจะเป็นการง่ายที่จะจัดการเอาออกในขั้นตอนต่อ ๆ ไปนั่นเอง

น้ำร้อนช่วยคุณได้

          อันดับต่อมาหลังจากใช้แปรงที่มีขนแข็ง ๆ แล้ว ให้นำผ้าสะอาดมาชุบกับน้ำร้อน แล้วเช็ดล้างใบหน้าให้ทั่ว หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือการยื่นหน้าหาไอร้อนของน้ำที่เดือด ๆ ก็ได้ โดยความร้อนนั้น จะทำให้รูขุมขนบนใบหน้าขยายตัวมากขึ้น แล้วคราวนี้ พวกสิวเสี้ยนทั้งหลายก็จะทนความร้อนกันไม่ไหว และโผล่หัวออกาให้คุณพาออกไปจากชีวิตได้อย่างง่ายดายมากขึ้น

เบคกิ้งโซดา ช่วยให้หน้าสะอาดใส

          ให้ผสมเบคกิ้งโซดา (Baking soda) ประมาณ 1 ช้อนชาร่วมกับน้ำสะอาด จากนั้นแล้วให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเบคกิ้งโซดาที่ผสมไว้แล้วค่อย ๆ ขัดบนผิวหน้าของคุณที่มีสิ้วเสี้ยนมากมายฝังตัวอยู่ อย่าขัดแรงจนเกินไป ไม่งั้นหน้าคุณจะลอกและอาจเกิดผื่นแดงได้ หรือหากใครไม่อยากใช้วิธีนี้ ก็ลองทำให้ง่ายขึ้นด้วยการใช้เบคกิ้งโซดาเพียงเล็กน้อยผสมกับโฟมล้างหน้าที่ ใช้อยู่ ก็สามารถช่วยขจัดพวกสิวเสี้ยนได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน

ใช้ผ้าก๊อซทำความสะอาด

          เมื่อได้ลองทำขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่บอกไปด้านบนแล้วนั้น ให้นำผ้าก๊อซที่ใช้พันแผลมาพันรอบ ๆ นิ้วข้างที่คุณถนัด จากนั้นก็นำนิ้วที่พันผ้าไว้ ไปจัดการขัดสิวออกซะ แล้วก็เหมือนเดิมครับ คือค่อย ๆ ขัดออกเบา ๆ ช้า ๆ เสร็จแล้วก็ล้างหน้าตามด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ และน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง เช็ดหน้าให้แห้งเรียบร้อย เพียงเท่านี้ สิวเสี้ยนเจ้ากรรมก็จะระเห็จระเหินออกจากใบหน้าของคุณไปอย่างแน่นอน

          สุด ท้ายนี้ หากทั้งหมดทั้งมวลที่ได้แนะนำไปนั้น ไม่สามารถจัดการสิวเสี้ยนให้ราบคาบได้สักที แถมยังมีปัญหาแพ้โน่นนี่ เกิดผื่นแดง หรืออักเสบแล้วล่ะก็ รีบไปพบแพทย์เถอะครับ เพราะจะยังไงก็แล้วแต่ แพทย์ก็จะเชี่ยวชาญและมีวิธีการที่ชำนาญกว่าเราทำเองแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เรานำมาแนะนำแบบนี้ ก็เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในเบื้องต้นเท่านั้นนะครับ ส่วนใครที่มีวิธีการดี ๆ อยากแนะนำเพิ่มเติม ก็ลองบอกกล่าวกันนะครับ เคล็ดลับ ๆ เพื่อความหล่อแบบนี้ อย่าเก็บไว้คนเดียวครับผม

 




วิธีแต่งหน้า เคล็ดลับน่ารู้ของการใช้อายแชโดว์


 


เมื่อพูดถึงการแต่งแต้มเติมสีสันให้กับดวงตา ไอเท็มที่ใช้ในการเมคอัพที่ผุดขึ้นมาเป็นชื่อแรกย่อมต้องเป็น "อายแชโดว์" ซึ่งปัจจุบันนี้มีอายแชโดว์ให้เลือกใช้กันหลายสีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแมท มีประกายชิมเมอร์ อายแชโดว์เนื้อฝุ่น เนื้อเหลว หรือว่าเนื้อครีม ให้สาว ๆ ได้เลือกใช้กันตามสะดวก แต่ ในความหลากหลายให้เลือกใช้อย่างสนุกสนานนี้ บางครั้งก็ทำให้เกิดความสับสนอยู่บ้างเหมือนกัน ว่าแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้กระปุกดอทคอมเลยหยิบเรื่องเคล็ดลับน่ารู้เกี่ยวกับการใช้อายไลน์เนอร์มาฝากกันค่ะ


        เคล็ดลับการใช้อายแชโดว์

          -  เคล็ดลับข้อแรกที่สาว ๆ ต้องท่องจำให้ขึ้นใจเมื่อใช้อายแชโดว์ก็คือ การเบลนด์ เพื่อให้สีที่แต่งแต้มลงไปนั้น มีพื้นผิวที่เรียบสม่ำเสมอ กระจายตัวดี และเนียนสนิทไปกับเปลือกตา

          -  เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะไม่ทำให้จับก้อนเป็นชั้น ๆ หรือเป็นปื้นบนเปลือกตา

          -  เลือกใช้แปรงอายแชโดว์ที่เหมาะสม แปรงสำหรับทาอายแชโดว์นั้นก็มีหลายแบบให้เลือก คุณจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน แปรงหัวตัดเหมาะกับการลากเส้น การลงสีต้องการเห็นขอบเขตชัดเจน ส่วนการเบลนด์สีให้เนียนต้องยกให้เป็นหน้าที่ของแปรงหัวกลมมน นอกจากนี้ขนาดของหัวแปรงก็ยังแตกต่างกันไป ซึ่งให้ผลในการแต่งดวตาที่แตกต่างกันด้วย

        แปรงแต่งตา VS แปรงทาตาหัวฟองน้ำ

          เมื่อนึกถึงตลับอายแชโดว์ที่มักมีแปรงทาตาหัวฟองน้ำให้มาด้วย พาลให้เรานึกสงสัยว่าเจ้าแปรงทาตาหัวฟองน้ำนี้ ทำหน้าทีแตกต่างจากแปรงแต่งตาแบบพู่กัน หรือแปรงสำหรับอายแชโดว์อย่างไร คำตอบก็คือ แปรงทาตาหัวฟองน้ำจะใช้ก็ต่อเมื่อต้องการสีสันบนเปลือกตาที่เข้มสดชัดเจน ส่วนแปรงอายแชโดว์เมื่อใช้แล้วจะไม่ให้เม็ดสีที่ไม่หนักแน่นเท่า แต่ก็จำเป็นในการใช้เบลนด์สีให้เนียนสวยสม่ำเสมอ

        เนื้อแมท VS ประกายชิมเมอร์

          อายแชโดว์เนื้อแมทจะให้สีสันที่จัด และชัดสดใส แต่อาจจะยากกับคนที่ใช้กับแปรงทาตาหัวฟองน้ำ เพราะค่อนข้างเบลนด์สีให้เนียนสวยได้ยาก ส่วนอายแชโดว์แบบมีประกายชิมเมอร์จะเบลนด์ให้ดูเนียนเข้ากันได้ง่ายกว่า แต่เมื่อใช้ร่วมกับแปรงทาตาหัวฟองน้ำแล้ว บ่อยครั้งที่ประกายชิมเมอร์เล็ก ๆ เหล่านั้นไปติดค้างอยู่ตามรอยพับหรือริ้วรอยที่เปลือกตา จึงต้องใช้ความพิถีพิถันในการแต่งตาด้วยอายแชโดว์ทั้งสองชนิดนี้ต่างกันออก ไป

        อายแชโดว์เนื้อเหลว VS เนื้อครีม

          อายแชโดว์เนื้อเหลวและเนื้อครีม ให้ความเนียนสวย และความเงาวาวในการทาแก่ดวงตาเป็นอันมาก สามารถทาลงบนเปลือกตาได้ทั้งการใช้ปลายนิ้ว หรือใช้แปรงพิเศษ (synthetic eyeshadow brush) เพื่อช่วยในการเบลนด์

        ใช้อายไพรม์เมอร์ VS ไม่ใช้อายไพรม์เมอร์

          การใช้อายไพรม์เมอร์เตรียมพื้นที่เปลือกตาก่อนการแต่งดวงตา จะช่วยควบคุมความมันที่เปลือกตา ทำให้อายแชโดว์ติดได้ทนนานมากขึ้น และช่วยให้สีสันเด่นชัดมากกว่าการทาลงบนเปลือกตาเปลือย ๆ ด้วย

          ได้ทราบเกร็ดความรู้ในการในการแต่งดวงตากับอายแชโดว์ไปแล้ว หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการแต่งหน้าของสาว ๆ กันนะคะ

 


อาหาร 10 ชนิดที่มีประโยชน์จนน่าทึ่ง


 

ใคร ๆ ก็รู้ว่า อาหารจำพวกผัก ธัญพืช หรืออาหารที่ได้จากธรรมชาติส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ประโยชน์ของมันจริง ๆ กันบ้าง ว่าหลังจากที่คุณทานเข้าไปแล้ว มันจะไปซ่อมแซมหรือบำรุงร่างกายส่วนไหน วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารจากธรรมชาติ 10 ชนิดที่มีประโยชน์จนน่าทึ่ง ซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้มาฝากกัน ว่าแล้วก็ไปดูพร้อมกันเลยดีกว่าว่า อาหารทั้ง 10 ชนิดนี้มีอะไรบ้าง และมันมีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณอย่างไร 
 1. ผักสลัดน้ำ (WATERCRESS)

          ผักสลัดน้ำได้ชื่อว่าเป็นราชินีผัก จัดอยู่ในจำพวกผักใบเขียว มี 2สายพันธุ์คือเขียวและแดง เป็นพืชตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลี มีรสเผ็ดเล็กน้อย

          คุณประโยชน์

          ผักสลัดน้ำ 1 ถ้วยมีพลังงานเพียง แค่ 4 แคลอรี่เท่านั้น แต่อุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ มากมาย เช่น เอ ซี และเค ซึ่งสูงกว่าผักกาดธรรมดา 2 เท่า และมีลูทีน (LUTEIN) กับซีแซนทีน (ZEAXANTHIN) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคจอตาเสื่อม มะเร็งเต้านม และโรคหลอดเลือดหัวใจได้

          วิธีรับประทาน

          สามารถหั่นมาเพื่อทานคู่กับแซนด์วิช เด็ดก้านออกเพื่อทำเป็นสลัด ผัดไฟแดง แกงจืด ต้มทำเป็นซุป หรือกินสด ๆร่วมกับส้มตำน้ำพริกก็ได้

2. วานิลลา (VANILLA BEANS)


          วานิลลาเป็นพืชตระกูลกล้วยไม้ มีลักษณะเป็นฝัก มีกลิ่นหอม จึงมักใช้สำหรับแต่งกลิ่นและรสให้หวานขึ้น

          คุณประโยชน์

          ในวานิลลานั้นมีสารประกอบของ (PHENOLIC) ที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส แบคทีเรีย และช่วยแก้อาการอักเสบของแผลเป็นในร่างกายได้ด้วย

          วิธีรับประทาน

          สามารถนำมาผสมกับน้ำผลไม้หรือแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นเครื่องดื่มได้

3. ผงโกโก้ (COCOA POWDER)

          ผงโกโก้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากเมล็ดโกโก้อีกที มีส่วนประกอบหลักคือโกโก้และเนยโกโก้ โดยมีสารประกอบไขมันต่ำที่ได้จากเมล็ดโกโก้

          คุณประโยชน์

          อุดมไปด้วย แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม และมีสารฟลาโวนอยด์ (FLAVONOID) ที่ช่วยป้องกันอาการชักและโรคหัวใจได้

          วิธีรับประทาน

          นำมาผสมเพื่อทำขนมต่าง ๆหรือสามารถนำมาผสมทำเป็นซอสได้

4. ข้าวฟ่าง (SORGHUM)


          ข้าวฟ่างเป็นพีชตระกูลหญ้า มีรูปร่างและรสชาติคล้ายข้าวสาลี ส่วนมากใช้สำหรับให้อาหารสัตว์ แต่คนก็สามารถนำมารับประทานได้เช่นกัน

          คุณประโยชน์

          ข้าว ฟ่างนั้นเป็นแป้ง จึงอุดมไปด้วยพลังงาน อีกทั้งยังมีวิตามินบีรวมและคลอเรสเตอรอลต่ำ ข้าวฟ่างช่วยเสริมสร้างม้ามและกระเพาะอาหารช่วยให้หลับง่าย

          วิธีรับประทาน

          สามารถนำมาใส่ในสลัดได้ นำมาทำเป็นโจ๊ก ทำเป็นขนมปังและสามารถนำมาใส่แกงได้ด้วย

5. ลูกเกด (RAISINS)

          ลูกเกด คือองุ่นแห้ง มีรูปร่างวงรีเล็ก ๆ สีน้ำตาลหรือดำ           

          คุณประโยชน์

          ใน ลูกเกด โดยเฉพาะลูกเกดสีเข้มนั้นจะมีแอนโทไซยานิน (ANTHOCYANINS) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าหลายเท่า ช่วยลดโอกาสในการเป็นมะเร็ง  บำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ ลดความเครียด และลดคลอเรสเตอรอลได้ด้วย

          วิธีรับประทาน

          สามารถนำมากินเปล่า ๆได้เลย หรือจะนำมาเป็นส่วนประกอบของขนมอย่างเค้กหรือไอศกรีมก็ได้

6. ขิง (GINGER ROOT)


          ขิง เป็นพืชล้มลุก มีส่วนเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสค่อนข้างเผ็ด

          คุณประโยชน์

          ขิง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม และวิตามินเอ ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านระบบทางเดินอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้อาการเบื่ออาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่นได้

          วิธีรับประทาน

          สามารถนำมาคั้นเป็นน้ำดื่ม หรือนำมาเป็นเครื่องเคียงของโจ๊กและแกงอื่น ๆได้

7. ถั่วแดง (KIDNEY BEANS)

          ถั่วแดง เป็นถั่วที่สามารถกินเมล็ดได้ ซึ่งอยู่ในจำพวกเดียวกับถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วลายแและถั่วปากอ้าเป็นต้น

          คุณประโยชน์

          อุดมไปด้วยโปรตีนและคุณค่าทางอาหารสูง สามารถใช้เป็นอาหารลดความอ้วนและอาหารสำหรับผุ้ป่วยเบาหวานได้ดี

          วิธีรับประทาน

          นำมาต้มกินได้ หรือสามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเช่น หมูอบ ห่อหมกเป็นต้น

8. กาแฟ (COFFEE)

          กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่เมล็ดสกัดนำมาจากต้นกาแฟ โดยถือเป็นเครื่องดื่มที่นิยมมาก

          คุณประโยชน์

          ไฟ เบอร์จากกาแฟสามารถช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้ มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ รวมไปถึงกรดคลอโรจีนิก (CHLOROGENIC)  ที่ช่วยยับยั้งคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดีออกไปได้

          วิธีรับประทาน

          สามารถใช้ดื่มได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถ้าคุณดื่มแบบกาแฟดำจะได้ประโยชน์สูงสุด

 9. ข้าวบาร์เลย์ (BARLEY)
      
          เป็นธัญพืชชนิดหนึ่ง อยู่ในตระกูลเดียวกับข้าว ข้าวโพด และข้าวสาลี

          คุณประโยชน์

          ไฟ เบอร์ในข้าวจะช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกาย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีโฟเลตและแมงกานีสที่ช่วยบำรุงสมอง

          วิธีรับประทาน

          สามารถทานกับอาหาร กินกับสลัด ทำเป็นซุปและแปรรูปเป็นขนมปังได้

10. ไข่ (EGGS)

          คงไม่มีใครไม่รู้จักไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่ ไข่เป็ด หรือแม้กระทั่งไข่นกกระจอกเทศ

          คุณประโยชน์

          ไข่ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยสามารถป้องกันโรคประสาทตาเสื่อมได้ ป้องกันการจับตัวของเลือด และไข่นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ให้วิตามินดีจากธรรมชาติ

          วิธีรับประทาน

          คุณสามารถนำไข่มาทำอาหารได้หลายแบบ เช่นนำมาทอด นำมาเจียว ผสมกับขนมและอีกมากมาย

          และ นี่ก็คือ 10 อาหารอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ จะเห็นได้ชัดว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณมากแค่ไหน ที่เหลือคุณก็แค่นำมาเลือกทานเพื่อสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด เพียงเท่านี้คุณก็จะร่างกายแข็งแรง โรคภัยไม่ถามหาแน่นอน

 


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม